วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

From Christmas Tales 1



เทศกาลเฉลิมฉลองสุดท้ายของปี งานเฉลิมฉลองที่ใครหลายๆคนรอคอยแน่นอนว่ามีเรื่องเล่ามากมายในช่วงเทศกาลนี้ แต่เรื่องที่ผมเล่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในระแวกบ้านของผม





มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมของปีที่แล้ว เป็นวันก่อนวันคริสมาส หรือวันคริสมาสอีฟ เป็นวันที่ทุกๆคนล้วนต้องออกมาซื้อของเข้าไปเก็บตุลไว้ในบ้านเพื่อการใช้ชีวิต ขณะที่ร้านค้าทั้งหลายปิดตัวลงเพื่อเฉลิมฉลองกับครอบครัวในช่วงเทศกาลนี้ ตัวผมเองก็เช่นกันแม้ผมจะไม่มีใครมากมายในครอบครัวให้เฉลิมฉลองมากนักก็คงมีแต่บรรดาเพื่อนๆของผมด้วยกัน





“ไงครับคุณ จุนมยอน วันนี้รับอะไรสำหรับช่วงวันหยุดดีครับ”


“ทักซะห่างไกลเชียว เอา ไก่งวง 2 ตัวที่เหลือก็ของเป็น ซี่โครงหมูสัก 2 กิโลนะ”





“ขอโทษครับ คุณพอสนใจซื้อไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กไหมครับ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อย ได้เอ่ยขึ้นหลังจากผมสั่งของกับคนขายเสร็จ สภาพของเด็กคนนี้สวมเสื้อคอเต่าข้างในข้างทับด้วยเสื้อกั๊กที่ดูไม่ค่อยสะอาดแถมยังมีรอยขาดตรงตะเข็บของเสื้อ คลุมด้วยเสื้อโค้ทสำหรับกันหนาวแต่สภาพของมันดูแล้วไม่ชวนให้อุ่นสักเท่าไหร่ กับเท้าเปล่าๆคู่นั้นผมไม่เข้าใจว่าเขาทนความหนาวเหน็บจากหิมะข้างนอกได้ยังไง ขณะที่ผมกำลังจะซื้อไฟแช็กสักอันสำหรับจุดเทียนโต๊ะอาหารสำหรับคืนนี้และคืนพรุ่งนี้





“ไอหนูออกไปขายที่อื่น หน้าตามอมแมมแบบนี้ใครเขาจะมาซื้อของ”


“แต่...”


“ถือว่าน้าขอนะ” แล้วเด็กคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปด้วยสีหน้าเศร้าจนผมอดที่จะสงสารไม่ได้ หลังจาก ที่ผมรับของมากจากคนขายพร้อมจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมรีบเดินออกจากร้านมาเพื่อหาเด็กคนนั้น แต่ผมกลับไม่เห็นเขาผมรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ ผมจึงเอาของใส่ท้ายรถแล้วขับกลับบ้านเพื่อเตรียมทำอาหารเย็น





หลังจากที่ผมเตรียมอาหารสำหรับตัวผมเองเสร็จแล้ว ก็ย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกช่วงเวลา ตอนนี้ผมไม่มีอะไรทำจึงหยิบสมาทโฟนขึ้นมาอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมคงเป็นเรื่องแปลกที่บ้านผมมีอินเตอร์คอมไวให้กด แต่นี่เขาเลือกที่จะเคาะประตูแทน สิ่งที่ผมเปิดประตูคือต้องขอบพระคุรพระเจ้าที่ให้เด็กคนนี้มาบ้านผม





“อ่าวนายเองหรอ เข้ามาก่อนสิ่” ผมหลีกทางให้เด็กตรงหน้าผมเข้ามา แต่เหมือนเขาไม่กล้าที่จะเข้ามาสักเท่าไหร่


“เข้ามาเถอะ ข้างนอกมันหนาวนะ”


“ผม… แค่..” ไม่ทันที่เด็กคนนี้จะพูดจบผมก็โอบไหล่ของเขาให้เดินเข้ามาในบ้านผมอย่างไม่รังเกียจ แล้วปิดประตูกันลมหนาวจากข้างนอกไว้





“กินอะไรก่อนไหม”


“ไม่หรอกครับ ผมแค่จะมาขายไม้ขีดไฟกับไฟแช็ก”


“ครับ เอาไฟแช้กสองอันนะ แล้วก็ไม้ขีดไฟกลอ่งนึง นายชื่ออะไรหรอ”


“คยองซูครับ โทคยองซู อันนี้ไม่ต้องทอนนะ” ชื่อคยองซู ชื่อเพราะดีนะครับเรียกง่ายดี คยองซูล้วงมือเข้าไปหยิบไฟแช็กกับไม้ขีดไฟ ในกระเป๋าของเสื้อโค้ทที่คลุมตัวเชาอยู่ให้ผมเดานะว่า ในถุงพลาสติกในมือนั้นก็คงเต็มไปด้วยของสองสิ่งนี้ คยองซูยื่นไม่ขีดกับไฟแช็ก2อันมาให้ผมพร้อมกับรับเงินของผมไป





“รอแปปนึงนะคยองซู” ผมเดินเข้ามาหาอะไรให้คยองซูได้กินบ้างแล้วผมก็ได้ ขนมปังมา 2 ก้อนขนาดเท่ากำปั้นผมหาได้แค่นี้จริงๆเพราะข้าวเย็นของผมก็ยังไม่เสร็จดี แต่ให้ตายสิ่ครับทันทีที่ผมออกมาผมก็ไม่เห็นเด็กตัวเล็กชื่อว่าคยองซูแล้ว แต่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นนั้นก็มีไฟแช็กกับไม้ขีดไฟวางทิ้งไว้เท่ากับจำนวนเงินทอนที่ผมให้เป็นทิปกับเขา ผมได้แต่มองจากหน้าต่างหน้าบ้านตรงนี้ว่าเขาหายไปไหนแล้วจะเป็นยังไงต่อไป





คยองซู Part





และแล้วความมืดก็เข้าครอบคลุมไปทั่วทุกๆคนต่างพากันเข้านอนในห้องนอนแสนจะอบอุ่นผิดกับผมที่ได้แต่มองพวกเขาเข้านอนจากนอกหน้าต่าง แล้วเฝ้าคิดว่าถ้าผมได้นอนในบ้านอุ่นๆห่มผ้าหนาๆที่ไม่ใช่เพียงเสื้อกั๊กกับโค้ชตัวนี้ ผมจะหลับสบายสักแค่ไหนผมจะมีความสุขมากไหม





“จะเดินไปไหน” ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเหมือนกับบ้านที่เพิ่งทาสีใหม่ๆ แต่มันลอยชัดอยู่จากข้างหลังผม ลมหายใจอุ่นๆรดอยู่ที่ต้นคอของผมข้างขวา กับท่อนแขนที่รั้งเอวของผมเอาไว้


“นะ.. นายต้องการอะไร” ผมถามถึงความต้องการของคนที่กำลังตั้งท่าจะทำร้ายผมอยู่ขณะนี้


“เงิน นายมีเงินเท่าไหร่”


“ผมไม่มี อ่ั่ก” เขาแทงเข่าเข้าที่หลังของผมความเจ็บปวดที่ได้รับมันทำให้เข่าผมถึงกับทรุดลงกับพื้นทางเดินที่เริ่มคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ… เขากระชากผมแล้วคลำตามตัวผมเพื่อหาของที่เขาต้องการ และเขาก็เจอมันพร้อมตบมาที่หน้าของผมจนสัมผัสได้ถึงคาวเลือดในปาก





“ไหนบอกไม่มีไง แล้วไอนี่มันอะไร”


“ผมมีแค่นี้แล้วผมก็ต้องใช้มันนะ” ผมรวบรวมแรงทนต่อสู้กับความเจ็บปวดบริเวณหลัง แล้วพยายามคว้าเงินของผมที่อยู่ในมือของคนตรงหน้าได้แต่….





“ไอเด็กนี้ มึงคิดจะสู้้หรอ” เขาถีบหน้าผมจนหัวผมฟาดเข้ากับกำแพงข้างหลัง แล้วเตะเข้าที่เหนือท้องบริเวณชายโครง





--





“หน้าตามึงก็ดีนะ งั้นกูจะไม่ฆ่ามึงก็แล้วกัน แต่กูขออย่างอื่นมาแลกแล้วกัน”เมื่อเขาเห็นผมไม่มีแรงที่จะสู้แล้วเขาก็ลากผมมาที่ซอกว่างข้างๆตึก ความหนาวจนร่างกายผมเริ่มที่จะสั่น เสื้อของผมถูกเลิกขึ้นมาจนถึงเนินอก มือที่สากลูบไล่บนลำตัวของผมผมอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้อยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่… ค่ำคืนนี้ช่างเงียบเหลือเกินพระเจ้าใครก็ได้ช่วยผมด้วย





ชายโรคจิตเขาลดกางเกงลงไประดับหนึ่ง ผมมองการกระทำของเขาได้เกือบจะชัดเจนหากไม่มีน้ำตานี้มาขวางกั้น แสงสว่างตอนนี้มีแค่เพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้น ผมถูกบีบที่ปากจนกระทั่งผมต้องยอมอ้าปากให้เขานำแก่นกายที่มีกลิ่นเหม็นฉุนเข้ามาในปากผม ผมกัดแก่นกายของเขาไปอย่างแรงจนร้องเสียงหลง





“โอ้ย เด็กเชี่ยนี่มึงสู้กูใช่ไหม” ฝ่ามือของเขาตบเข้ามาที่หน้าของผมจนหันไปตามแรงที่ส่งมาจากมือของเขา แล้วกำผมบนหัวของผมเข้าไปใกล้หน้าเขาแล้วพูดว่า





“มึงจำไว้อย่าคิดจะสู้กู” เขาดึงเส้นผมของผมให้ลุกขึ้นตามเขาก่อนจะเหวี่ยงให้หัวของผมชนกำแพงจนเป็นรอยนูน และปล่อยผมให้ล้มลงกับพื้นไปกับแรงโน้มถ่วงของโลกที่โหดร้ายใบนี้…. ความเย็นกลับมาหาผมอีกครั้งเพราะ กางเกงผมได้ถูกปลดออกไปแถ้วจนถึงหัวเข่าขอผม ชายโรคจิตคนนี้ใช้มือข้างขวาถ้ามองจากมุมผมที่นั่งกึ่งนอนโดยหลังพิงกำแพงอันแสนเย็น มาจับขาทั้งสองของผมให้ยกสูงขึ้น และอีกมือเขาคงจับแก่นกายให้มันเข้ามาในทางข้างหลังของผม ผมหลับตาไม่มองภาพเหล่านี้น้ำที่ออกมาจากร่างกายผ่านทางดวงตาของผม มันทำให้หน้าผมเริ่มที่จะมีน้ำแข็งเป็นเกล็ดบางๆเพราะเพราะความเย็น





“มึงนี่โคตรฟิตเลยว่ะ” ผมกัดปากตัวเองไว้ตลอดพยามยามไม่ส่งเสียงร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดจากระหว่างขาของผม พระเจ้า...ทำไมชีวิตบนโลกใบนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน ชายโรคจิตขยับแก่นกายอย่างไม่มีท่าทีว่าแรงของเขาจะหมด ผิวหนังต้นขาใกล้กับช่องทางของผมที่ตอนนี้ผมไม่สามารถแยกออกได้ว่าข้างไหนเป็นข้างซ้ายหรือขวา มันสัมผัสถึงถึงของเหลวอุ่นๆที่ออกมาจากตัวผมแต่ไม่นานมันก็เย็นราวกับโดนน้ำหยดใส่มือท่ามกลางความหนาวระดับติดลบ ชายโรคจิตไม่สนด้วยซ้ำว่ามีของเหลวอะไรออกมาจากร่างกายผม ไม่ว่าจะน้ำตา น้ำมูกที่มาพร้อมกับการร้องไห้ของผม หรือน้ำที่ผมไม่รู้ว่าน้ำอะไรแต่มันไหลมาจากระหว่างขาของผม… ผ่านไปสักพักเขาก็สำเร็จความไคร่ โดยที่เขาถอนแก่นกายออกมาจากช่องทางของผมจนผมต้องสะดุ้ง เพราะความเสียวครั้งสุดท้าย และความรู้สึดโล่งโหวงตรงระหว่างขาหวังจากไม่มีแก่นกายนั้นอยู่แล้ว เขาเอามือมาจับให้ผมหันหน้าไปหาแก่นกายของเขาที่ตอนนี้หน้าผมอยู่ระนาบเดียวกันพอดี มืออีกข้างของเขาสาวแก่นกายเข้าออกด้วยความเร็ว จนมีน้ำขุ่นๆออกมากจากปลายแก่นกายกระทบลงบนหน้าผม





“เอามึงนี่โคตรเสียวเลยว่ะ มึงให้กูดีๆตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บหรอก” เขาเก็บแก่นกายเข้าไปอยู่ใต้กางเกงพร้อมกับแต่งตัวให้เป็นปกติเหลือเพียงแต่ผมที่คอตกไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเพิ่งถูกข่มขืนไปหมาดๆผมร้องไห้อยู่กับตัวเองสักพักจนความหนาวมาเรียกสติผม อากาศค่อยๆติดลบลงเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องหาความอบอุ่นให้ตัวเอง ที่ตอนนี้มีแค่ ไฟแช็กกับไม้ขีดไฟ ผมดึงกางเกงของผมที่ถูกล่นลงไปแค่เข่าขึ้นมาด้วยความยากเย็นทั้งความเจ็บบริเวณหลังและระหว่างขา มือของผมที่กำลังสั่นพยายามจุดไม้ขีดไฟขึ้นมาแต่แล้วเพราะความชื้นทำให้ไม้ขีดไม่สามารถจุดไฟได้ ผมจึงต้องพึ่งพาไฟแช็กแทนแล้วแน่นอนว่ามันติด ผมอังมือกับไฟที่ส่องสว่างจากไฟแช็กอยู่อย่างนั้นจนหมดไป ตอนนี้ผมเริ่มหนาวอีกครั้งและมันหนาวกว่าเมื่อสักครู่มาก ไม้ขีดแน่อนว่ามันใช้ไม่ได้แล้ว เหลือเพียงไฟแช็กอันสุดท้าย…. ที่ทำมห้ผมอุ่นมาได้ ผมวางกล่องไม่ขีดไฟ 2 กล่อง จาก 6 กล่อง ไว้ตรงหน้าผม หลังจากที่ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ผมค่อยๆจุดมันทีละ 2 กล่องให้เป็นกองไฟเล็กๆ แล้วเอามืออังกับกองไฟเล็กๆที่ให้ความอบอุ่นผมได้ แต่ผมก็ไม่อาจสู้ความง่วงได้ ผมเองตัวลงนอนข้างกองไปจากกล่องไม้ขีดที่ใกล้จะมอดลง อย่างน้อยผมก็ได้เห็นเปลวเพลิงอ่นๆก่อนตาจะหลับสนิทลง….






“ตื่นครับ ลูกคยองซู ตื่นได้แล้วนะ” ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง มันสว่างไปด้วยแสงโทนสีเหลืออมส้ม เหมือนพระอาทิตย์แต่ที่นี่กลับไม่มีพระอาทิตย์ ผมมองไปรอบๆเจอชายร่างสูงคนหนึ่งยืนยิ้มให้กับผม





“คุณคือใครครับ”


“พ่อมารับลูกเพราะ พระเป็นเจ้าท่านให้มารับลูก”


“พ่อครับ… ผม..”


“ลูกไม่ต้องพูดอะไรนะ ที่นี่มีความอบอุ่นมากพอสำหรับลูกในฤดูหนาวนี้” ผมหันกลับไปมองข้างหลังผมเห็นตัวเองกำลังนอนตัวซีดราวกับไม่มีเลือดในร่างกายแล้ว ทำไมผมจะตายผมต้องตายในสภาพเวทนาแบบนี้


“ครับ.. ”


“ลูกลืมเรื่องในโลกมนุษย์ซะนะต่อไปนี้ลูกคือลูกของพ่อ พ่อไม่ยอมให้ลูกห่างพ่ออีกแล้ว” พ่อของผมเขามากอดผมแล้วจับมือของผมเดินขึ้นรถไฟไปโดยที่ผมไม่ได้กลับไปมองร่างของผมอีกเลย….





ณ วันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปบ้านญาติที่ออยู่ไม่ไกล ก็ได้สะดุดกับภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่นอนขดอยู่โดยมีหิมะบางส่วนอยู่บนร่างของเขา และใกล้ๆมีกองไม้ขีดไฟกับไฟแช็ก





“หนู หนูมานอนทำไมตรงนี้” หญิงชราผู้เดินเข้ามาเอามือเขย่าร่างของเด็กชายคนนี้เบาๆ แต่เด็กชานคนนี้ยังคงหลับสนิทต่อไป





“ป้ายองซู อรุณสวัสดิ์วันคริสมาสครับ” ผมเดินเข้าไปทักทายป้ายองซูเพื่อนบ้านผม และก็ได้พบกับคยองซูนอนนึ่งอยู่บนพื้น ผมรีบเข้าไปดูเด็กคนนี้โดยในใจภวนาว่าเขาจะต้องไม่เป็นอะไรผมเขย่าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คยองซุก็ไม่ตื่นรอยช้ำบนใบหน้าและลำตัวคงบอกได้ดีว่าคยองซูพบเจอกับอะไรในคืนวันคริสมาสอีฟ มันอาจจะเป็นคืนหรือช่วงเทศกาลที่หลายๆคนรอคอยและได้มีความสุขกับครอบครัว แต่คงไม่ใช่กับคยองซูผู้นี้ สำหรับคยองซูคืนก่อนวันคริสมาสนั้นคงเป็นคืนที่โหดร้ายและขมขื่นสำหรับเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องอยู่รับความเจ็บปวดบนโลกนี้อีกแล้ว ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะให้ความอบอุ่นที่เขาได้ขาดหายไปตอนยังมีชีวิต ตลอดนานเท่านาน หลับให้สบายนะคยองซู





นี่ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวผมเมื่อปีที่แล้ว ผมรับกระดูกของคยองซูไปลอยอังคารเพราะเขาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนและพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เป็นเด็ก ทำไมเด็กคนนี้ทำให้ผมถูกชะตาได้นะผมไม่รู้จริงๆเพราะแววตาที่ใสซื่อ และความตั้งใจของเขาที่ไม่ยอมรับทิปเพราะคิดว่าผมสงสารเขาหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ได้ แต่ผมรู้อย่างนึงว่า คยองซูต้องมีความสุขอยู่บนสวรรค์แน่นอน








คิม จุนมยอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น